“ประกัน” ถือเป็นหนึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ถูกปฏิเสธจากผู้คนมากที่สุด ด้วยเห็นว่าไม่คุ้มค่า ไม่ได้นำมาซึ่งผลกำไร และกว่าจะได้ใช้ ได้รับผลประโยชน์นั้น ก็ต้องรอคอยยาวนาน ซึ่งทำให้รู้สึกว่า เสียโอกาส สู้นำเงินที่ต้องจ่ายเบี้ยประกันไปใช้ต่อยอดทำอย่างอื่นดีกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีผู้คนอีกจำนวนมาก ที่เข้าใจและเห็นถึงคุณค่าของประกันจริงๆ ว่า ไม่ได้เกิดมาเพื่อ “สร้างกำไร” แต่เกิดมาเพื่อ “สร้างความอุ่นใจ” และช่วยประคับประคองให้ชีวิตมั่นคงมากขึ้นในวันที่เกิดปัญหา โดยตลอดชีวิตคนเรานั้น ในทุกจังหวะชีวิตล้วนต้องการตัวช่วยที่จะพาให้เราพ้นวิกฤตไปได้ และผลิตภัณฑ์ประกันก็สามารถช่วยเราได้ในทุกจังหวะชีวิตจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ 5 จังหวะสำคัญของชีวิต ดังต่อไปนี้
1.จังหวะเจ็บจากอุบัติเหตุ ให้ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
ทราบหรือไม่ว่าในแต่ละเดือนนั้นมีการแจ้งเหตุการณ์เกิดอุบัติเหตุมากถึงกว่า 50,000 ครั้ง และทุกวันมีทั้งผู้เสียชีวิต พิการ และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมากจากอุบัติเหตุ ซึ่งเราอาจคิดว่า “ไม่ใช่เรา” และเป็นเรื่องไกลตัว แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้จริงหรือไม่ว่า วันหนึ่งเราอาจเป็นผู้โชคร้ายที่ได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุนั้นก็ได้ เพราะเราต้องทำงาน ต้องขับรถ ต้องโดยสารรถสาธารณะ ซึ่งเพียงแค่ก้าวเท้าออกจากไปบ้าน ก็เท่ากับมีโอกาสเสี่ยงภัยได้แล้ว ดังนั้น ในวันที่อุบัติเหตุเกิดขึ้น “ประกันอุบัติเหตุ” จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราได้รับการดูแล เยียวยา อย่างพิเศษที่สุด ที่ทำให้สามารถก้าวผ่านเรื่องเลวร้ายไปได้ง่ายขึ้น ด้วยการจ่ายเบี้ยปีละ ไม่กี่พันบาทเท่านั้น เพื่อให้ได้วงเงินคุ้มครองชีวิตหลักแสน ค่ารักษาพยาบาลหลักแสน แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องจ่ายอยู่ดี และความประมาทนั้นก็นำมาซึ่งความสูญเสียที่ทำให้ครอบครัวต้องสั่นคลอน
2.จังหวะป่วยไข้ ให้ได้มีชีวิตใหม่ที่ยังมีเงินเหลือใช้
ป่วยครั้งเดียว อาจทำให้ทั้งชีวิตเราและครอบครัวลืมตาอ้าปากไม่ได้อีกเลย ด้วยหากเราต้องโชคร้ายป่วยเป็นโรคร้ายแรง ที่มีค่ายา ค่ารักษาพยาบาลที่แพงเกินกว่าที่จะจ่ายไหว จริงอยู่ว่า เราอาจมีสวัสดิการของรัฐบาลช่วย แต่ในความเป็นจริงแล้ว โรคร้ายแรงหลายโรค ยารักษาหลายๆ ตัว ก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ที่เรียกว่าเป็น “ยานอกระบบ” ซึ่งหากเราไม่ได้มีการวางแผนเก็บออม เตรียมพร้อมกับค่ารักษาพยาบาลยามเจ็บไข้ไว้เลยล่ะก็ เงินเก็บเพื่ออนาคตในส่วนอื่น ก็จะต้องถูกนำมาใช้เพื่อรักษา เพื่อช่วยชีวิต จนถึงขั้นเป็นหนี้เป็นสิน หมดตัว ที่แม้จะทำให้เราหายกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง ก็กลายเป็นชีวิตที่สิ้นหวังท้อแท้ และต้องลำบากในการใช้ชีวิตต่อไป ดังนั้น “ประกันสุขภาพ” จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ในจังหวะที่เราเจ็บไข้ เราอุ่นใจได้มากขึ้นว่า จะมีค่ารักษาพยาบาลเพียงพอ หรือถ้าต้องจ่ายก็มีประกันช่วยจ่าย ทำให้จ่ายน้อยลง ทำให้รักษาเงินออมเพื่ออนาคตเอาไว้ได้ ทำให้เมื่อหายป่วยออกมา ก็ยังมีกำลังใจเดินหน้าก้าวต่อไปได้มากขึ้นกว่าที่ต้องรู้สึกว่า นำเงินทั้งหมดที่มี ที่หามาทั้งชีวิต เพื่อรักษาตัวเอง
3.จังหวะทำงานสร้างตัว ให้มีเงินเก็บเพื่ออนาคตครอบครัวได้มากขึ้น
นับตั้งแต่เรียนจบที่อายุ 22 ปี เราก็เข้าสู่การทำงานอย่างหนักไปจนกระทั่ง อายุ 50-60 ปี ตามแผนการที่ทุกคนหวังกันไว้ว่าต่อจากนั้นคือวัยเกษียณ ซึ่งเท่ากับว่า 28-38 ปี ในการหาเงิน เก็บเงิน เพื่อสร้างอนาคตที่ดีในบั้นปลายสุดท้ายของชีวิต ทั้งนี้ หลายคนก็ล้มเหลวและทำไม่ได้ แม้ว่าจะมีเวลามากขนาดนั้น เพราะขาดวินัยในการเก็บออมอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้จริงจังมากพอที่จะทำให้เงินเก็บทวีคูณได้อย่างที่ควรจะเป็น ทั้งนนี้ ประกันชีวิต จะช่วยทำให้เราเก็บเงินได้ง่ายขึ้น เห็นผลสำเร็จได้ดีขึ้น ด้วยบังคับเราให้ถอนออกไม่ได้ อีกทั้งยังทำให้เราเก็บเงินได้มากขึ้นอีกด้วยจากการ “ใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้” ทำให้ได้เป็นพลเมืองที่ดีไปด้วย พร้อมกับเก็บออมเงินตัวเองเพื่ออนาคตไปด้วยพร้อมกัน
4.จังหวะวัยเลิกทำงาน ให้มีความสุขเบิกบานในวัยเกษียณ
จะมีสักกี่คนกันที่เคยนั่งคิด นั่งวางแผนกันจริงๆ ว่า “เกษียณไปแล้วจะมีอายุอีกกี่ปี” แล้วแต่ละปีจนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของชีวิตนั้นต้องใช้เงินเท่าไร ลองคำนวณดูคร่าวๆ ก็ได้ว่า ถ้าเดือนๆ หนึ่งเราใช้เงิน 30,000 บาท 1 ปี เราจะต้องใช้เงินทั้งสิ้น 360,000 บาท ถ้าคิดว่าจะอยู่ได้ถึงอายุ 80 ปี เกษียณตอน 60 ปี เท่ากับว่าเราต้องเตรียมเงินอย่างน้อย 360,000 บาท คูณ 20 ปี เท่ากับ 7,200,000 บาท ซึ่งถ้าเราไปเริ่มเก็บตอนอายุ 50 ปี หรือใกล้ๆ เกษียณก็คงไม่ทัน และยากที่จะทำได้สำเร็จ ดังนั้น การวางแผนเกษียณ จึงต้องทำตั้งแต่ที่ยังอายุน้อยๆ หนุ่มๆ ทำล่วงหน้า ซึ่งการวางแผนผ่านประกันชีวิตนั้น ก็จะช่วยให้เป้าหมายเงินออมในวัยเกษียณเราสำเร็จได้ง่ายมากขึ้น และยังได้รับความคุ้มครองชีวิตด้วยตลอดระยะเวลาที่เรากำลังทำงานเก็บเงินเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
5.จังหวะที่ต้องจากไป แต่ยังห่วงใยคนรักที่ยังต้องอยู่ต่อไป
เราต่างล้วนเป็นคนสำคัญสำหรับครอบครัว เป็นที่พึ่งพิง เป็นเสาหลัก และเป็นคนที่ดูแลคนที่เรารักเสมอ ซึ่งบางทีเราก็ใช้ชีวิตด้วยความคุ้นเคย โดยที่อาจเผลอลืมไปว่า หากวันหนึ่งไม่มีเราขึ้นมา “คนที่เรารัก” จะมีชีวิตก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างไร จะลำบากมากแค่ไหน จะมีชีวิตที่ดีอย่างที่ตั้งใจได้หรือไม่? สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราควรต้องคิดเผื่อไว้ด้วย เพราะแม้เราจะสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างพวกเขาไปตลอด แต่โชคชะตาก็อาจทำให้เรารักษาสัญญาไม่ได้ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ประกันชีวิตก็ยังทำให้เรารักษาสัญญาได้ข้อหนึ่งก็คือ แม้จะอยู่เคียงข้างตลอดไปไม่ได้ แต่ก็สามารถดูแลพวกเขาตลอดไปได้ ด้วยเงินประกันชีวิตที่เราวางแผนเอาไว้อย่างดีที่สุด เพราะไม่มีใครหนีความตายพ้น และเพราะไม่มีใครรู้ด้วยว่า ความตายจะมาหาเราเมื่อไร ดังนั้น การวางแผนให้ประกันชีวิตมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไว้ จึงเป็นหนทางที่จะช่วยรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดในชีวิตได้อย่างดีที่สุด ที่แม้สุดท้ายแล้วเราจะต้องจากไป และคนที่เรารักก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างที่มีหลักประกันประคับประครองชีวิต
ไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงวัยไหน จังหวะชีวิตแบบไหน “เงิน” ถือเป็นสิ่งที่ต้องมีสำรองไว้อย่างเพียงพอ เพื่อให้สามารถก้าวต่อไปได้อย่างราบรื่น และง่ายดายมากขึ้น โดยเฉพาะในวันที่มีปัญหาถาโถมเข้าใส่ และไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงชีวิตใด จังหวะชีวิตแบบไหน เราทุกคนก็มีโอกาส ป่วยได้ เกิดอุบัติเหตุได้ ตายได้ ด้วยกันทั้งนั้น นั่นเองที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ประกัน มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เราก้าวผ่านทุกจังหวะชีวิตที่ทั้งเสี่ยงภัย และต้องการใช้เงินอย่างเพียงพอไปได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งถามว่าไม่จำเป็นต้องมีประกันได้ไหม คำตอบก็คือได้ แต่นั่นหมายความว่าเราต้องมั่นใจด้วยว่า เราเก็บออมเงินได้อย่างพอเพียงในทุกจังหวะของชีวิต และเมื่อนำเงินนั้นออกมาใช้ จะไม่ได้เป็นการทำลายจังหวะชีวิตของเราด้วย ซึ่งถ้ารู้สึกว่าเราไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น การวางแผนจ่ายเบี้ยประกันที่เลือกได้ ควบคุมได้ว่าจะจ่ายเท่าไร เพื่อให้ได้ “วงเงินคุ้มครองก้อนใหญ่” มาใช้ แบบไม่กระทบเงินเก็บส่วนอื่นของเรา จึงเป็นทางออกที่ดี เป็นทางเลือกที่ดีกว่าเพื่อชีวิตของเราและคนที่รัก